ยกเว้น ภาษี ค ริ ป โต สามารถทำได้หรือไม่ มาหาคำตอบกัน

การ ยกเว้น ภาษี ค ริ ป โต เป็นหนึ่งในตัวเลือกของภาษีคริปโตที่เป็นกฎหมายที่เพิ่งจะบังคับใช้ไปในช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา โดยเมื่อมีนักลุงทุนคริปโตมากขึ้นและมีการลงทุนรวมถึงกำไรที่มากขึ้นย่อมทำให้เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องที่พูดถึงกันเป็นธรรมดา ซึ่งวันนี้เราจะทำความรู้จักกับ ภาษีคริปโตให้มากยิ่งขึ้น วิธีการคำนวณและวิธีการ ยกเว้น ภาษี ค ริ ป โต ที่สามารถทำได้หรือไม่ เราไปดูวิธีกันเลย

ภาษีคริปโต คืออะไร

ก่อนจะรู้ถึงวิธีการ ยกเว้น ภาษี ค ริ ป โต เราจำเป็นจะต้องทำความรู้จักกับภาษีคริปโต Cryptocurrency เสียก่อน โดยตามพระราชกําหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561 นั้นได้ระบุรายละเอียด ภาษีคริปโต ไว้ในเนื้อหาว่า สินทรัพย์ดิจิทัลหากมีกำไรหรือมีผลตอบแทนที่ได้จากการลงทุนจะต้องเสียภาษีหัก ณ ที่จ่าย ร้อยละ 15 ของกำไร และบุคคลที่มีเงินได้จากการซื้อขายคริปโตฯ จะต้องยื่นแบบแสดงการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา โดยหากจะอธิบายให้เข้าใจง่ายๆ เกี่ยวกับภาษีคริปโตก็จะมีเกณฑ์เสียภาษีเงินได้เพิ่มขึ้นมาอีก 2 ประเภท ที่เข้าข่าย ดังนี้

1. ส่วนแบ่งกำไรจากโทเคนดิจิทัลต่างๆ อย่างเช่น ส่วนแบ่งที่ได้รับจากโปรแกรม Ziplock ของ Zipmex Token เป็นต้น
2. กำไรจากการขายโทเคนดิจิทัลและเหรียญคริปโตฯ ต่างๆ โดยตรง ซึ่งในกรณีนี้จะต้องทำการหักภาษี ณ ที่จ่าย 15% ด้วย

ยกเว้น ภาษี ค ริ ป โต ทำได้หรือไม่ แล้วใครต้องเสียภาษีบ้าง

ในกรณีที่จะต้องเสียภาษีสำหรับรูปแบบที่จะเข้าข่ายที่ต้องเสียภาษีคริปโตเคอร์เรนซี จะมีหลักการของกฎหมาย 3 ข้อ ดังต่อไปนี้

1. แบบแรกคือส่วนแบ่งจากกำไรที่ได้จะต้องเสียภาษี
2. ผลประโยชน์ต่างๆ ที่เกิดจากการโอนเงินจะต้องมีการเสียภาษี
3. กำหนดให้ผู้จ่ายแบบสุดท้ายคือเงินได้ที่จะหัก 15% เมื่อมีการจ่ายเงินได้และทำการหักเรียบร้อยแล้วก็จะไม่สามารถใช้สิทธิ Final TAX ได้

ในกรณีการ ยกเว้น ภาษี ค ริ ป โต หรือการไม่เสียภาษีคริปโตนั้น หากเป็นกำไรที่ได้ที่มาจากต่างประเทศจะไม่ต้องเสียภาษีคริปโตในประเทศไทย โดยเงินเหล่านั้นจะต้องอยู่ในประเทศไทยในปีนั้นๆ ได้ไม่ถึง 180 วัน และไม่ได้นำเงินได้เข้ามาในปีที่เกิดเงินนั้นๆ ซึ่งหมายความง่ายๆ ว่า การจะ ยกเว้น ภาษี ค ริ ป โต ได้นั้นจะต้องเป็นการทำกำไรจากต่างประเทศและต้องถือกำไรไว้แล้วเอาเข้ามาที่ประเทศไทยในปีถัดไปนั่นเอง

วิธีการเตรียมยื่นภาษีคริปโต

การลงทุนคริปโตในขณะนี้นั้นได้รับความนิยมอย่างมากทำให้นักลงทุนทำให้นักลงทุนมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดในช่วงเดือนพฤศจิกา 2564 ซึ่งมีจำนวนนักลงทุนสูงถึง 1,979,847 บัญชีด้วยกัน ซึ่งทำให้เกิดปัญหาขึ้นมีการกำหนดจ่ายภาษีคริปโตขึ้นมา โดยก็สามารถ ยกเว้น ภาษี ค ริ ป โต ด้วยวิธีที่เราแนะนำไป ซึ่งเราก็มีการคำนวณการเสียภาษีง่ายๆ ด้วย 2 วิธีการด้วยกัน ซึ่งทางธนาคารกสิกรไทย โดย K WEALTH แนะนำวิธีการยื่นภาษีคริปโตด้วยการทำบัญชีกำไร/ขาดทุน ในการเทรดและการ Stake เหรียญ และทำบัญชีต้นทุนในการขุดเหรียญคริปโตให้ชัดเจนเพื่อนำไปใช้คิดเงินรายได้รวมกับเว็บอื่นๆ เพื่อยื่นภาษีในปีนั้นๆ โดยการคิดต้นทุนสำหรับเสียภาษีคริปโตจะสามารถทำได้ 2 วิธี ดังนี้

1. แบบแรกคือใช้วิธี First in, First out หรือที่เรียกว่า FIFO 

ยกตัวอย่างเช่น วันที่ 30 มีนาคม มีการซื้อคริปโต A เป็นจำนวน 1 เหรียญ ในราคา 10,000 บาท/เหรียญคริปโต ต่อมาในวันที่ 2 เมษายน มีการซื้อเพิ่มอีก 1 เหรียญ ในราคา 12,000 บาท 
ซึ่งวิธี “First in, First out” (FIFO) คือ ให้คิดต้นทุนเมื่อจะขายออก 1 เหรียญ ซึ่งจะใช้ราคาของเหรียญที่ซื้อเข้ามาก่อน นั่นคือในวันที่ 30 มีนาคม เป็นเงิน 10,000 บาท และเมื่อขายอีก 1 เหรียญ จะใช้ราคาของอีกเหรียญ นั่นก็คือ 12,000 บาท นั่นเอง

1. วิธีต้นทุนเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Average Cost) 

ยกตัวอย่างกรณีเดียวกัน คือ วันที่ 30 มีนาคม. ซื้อคริปโต A จำนวน 1 เหรียญ ในราคา 10,000 บาท/เหรียญคริปโต ต่อมาในวันที่ 2 เมษายน ซื้อเพิ่ม 1 เหรียญ ราคา 12,000 บาท ซึ่งถ้าใช้วิธีต้นทุนเฉลี่ยเคลื่อนที่แล้วให้นำเอาทั้งสองเหรียญมารวมกันแล้วหารสองจึงจะได้ต้นทุนเฉลี่ยอยู่ที่ 11,000 บาท นั่นเอง

การ ยกเว้น ภาษี ค ริ ป โต นั้นเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่สามารถทำได้หากไม่ต้องการเสียภาษีคริปโตซึ่งจำเป็นจะต้องมีเหรียญคริปโตอยู่ในต่างประเทศและจะต้องนำเข้ามาในประเทศไทยในปีถัดไปที่สร้างเหรียญคริปโตนั้นมา โดยภาษีคริปโตเองยังเป็นกฎหมายที่เพิ่งจะบังคับใช้ไปในช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา และมีนักลุงทุนคริปโตจำนวนมากที่ยังไม่เข้าใจ โดยวันนี้เราก็ได้นำเสนอไปทั้งความหมาย วิธีการคิดภาษีคริปโต และวิธีการ ยกเว้น ภาษี ค ริ ป โต ซึ่งหากว่าใครที่เป็นนักลงทุนและสนใจภาษีคริปโตอยู่แล้วล่ะก็ ก็สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้เลยทันที